09.24 ทำตัวเหมือนว่างเลยมาทด 4.1

"เข้าเช็คMRIแล้วหรือยัง"

https://science.howstuffworks.com/life/inside-the-mind/human-brain/coma4.htm

"เรียบร้อยครับ แต่ก็ไม่พบเนื้องอกหรือความผิดปกติอะไรทางสมองเลยนะครับ"

"งั้นหรอ... ญาติผู้ป่วยเองก็บอกว่าปกติดีแล้วคืนถัดมาก็โคม่าเลยสินะ"

"ครับผม"

"...แต่ดูๆแล้วก็ไม่อันตรายกับชีวิตอะไรล่ะนะ ส่งเข้าICUก่อนก็แล้วกัน"

"เห~ คนนี้ใช่มั้ยนะที่เคยมีประวัติแขนซ้ายอัมพาตแต่ไม่พบความผิดปกติอะไร"

ทั้งแพทย์และผู้ช่วยถึงกับชะงักและอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยทันทีที่บุคคลที่สามของบทสนทนาโพล่งเข้ามา สีหน้ามีความเลิ่กลั่กเล็กน้อยก่อนจะตอบเจ้าของเรือนผมสีดำ "ถ้า..คุณบัลลาร์ด...ก็...ใช่ครับ"

"อ้าว งั้นก็ดีเลย ฝากบอกญาติคุณบัลลาร์ดด้วยว่าเดี๋ยวผมรับต่อเอง" บุคคลที่เหมือนจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญตอบทันควันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าตื่นเต้น "คุณพยาบาลพาเขาเข้าตึกBเลยก็ได้ ชั้น26นะ"

"รับทราบค่ะคุณหมอโวค"

"ม่ายอาวหน่า อย่าเรียกด้วยนามสกุลสิ เดี๋ยวมันจะมีคนที่สะดุ้งเพราะนึกว่าเป็นผอ.เองกันพอดี เรียกมาร์คัสๆ โอเค้? โอเค" เหมือนเจ้าตัวจะไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายทำความเข้าใจเพื่อตอบกลับแล้วเดินออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าตั้งใจซุ่มฟังบทสนทนาแล้วพุ่งมาเพื่อเขารับเคสนี้ต่อโดยเฉพาะ

=======================

"ของหวานน้องชายคุณผอ.เลยสินะ"

"แต่ที่รับมาก็คนที่ 7 แล้วนะ ไม่คิดว่ามันจะเยอะไปหน่อยหรอ"

"...คงอยากพิสูจน์ทฤษฎีตัวเองล่ะมั้งท่า แต่ก็เท่าที่ได้ยินมาอะนะ"

บทสนทนาที่ผมได้ยินก็จะมีเนื้อหาประมาณนี้อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาลอนดอนแล้วมีโรงพยาบาลเว•ลิงตันเป็นบ้านหลังที่2.5

"อ้าว นั่นน้องโวคนี่หน่า สวัสดียามเย็นจ้า"

"น้องเฟริลลล"

"อะฮะฮะ.. สวัสดีครับทั้งสองคน"

และตั้งแต่ย้ายมา ก็มีคนทักทายผมเวลาผมปรากฏตัวเยอะขึ้นเกินสองเท่า

การได้รับความเอ็นดูจากที่ทำงานของพ่อแม่มันก็ดีอยู่หรอก ถึงอย่างนั้นผมกลับยังคงอยากให้คนส่วนใหญ่เบลอๆผมไปบ้างมากกว่าในหลายโอกาส

ผมยิ้มและโบกมือน้อยๆตอบคำทักทายของพยาบาลสาวทั้งสองแล้วก้าวเท้าเดินให้ไวขึ้นเล็กน้อยไปทางโถงลิฟต์สำหรับบุคลากร ระหว่างรอก็ก้มหน้าเลื่อนจอมือถือพลางหวังว่าจะไม่โดนสังเกตเห็น

กิ๊งง

คนในลิฟต์ราวๆ 2-3 คนเดินสวนออกมาก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยพวกผมที่ยืนรออยู่ข้างหน้า

17

23

9

"อะ รบกวนชั้นที่ 26 ด้วยนะครับ"

"ได้เลยพ่อหนุ่ม"

26

"ขอบคุณมากครับ"

ทั้งเรื่องกดลิฟต์และเรื่องไม่ชวนผมคุยต่อ

เพราะชั้นdestinationของผมนั้นอยู่ท้ายๆทำให้ใจจดใจจ่อในการเงี่ยหูฟังว่าจะมีใครชวนผมคุยอะไรหรือเปล่า ดูเหมือนว่าจะโฟกัสเสียเที่ยวล่ะนะ ซึ่งก็ดีแล้ว

กิ๊ง

พอถึงชั้นปลายทางของผมก็รีบค้อมหัวตอนเดินออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาก่อนจะเอาบัตรแตะเครื่องแล้วผลักประตูกระจกเข้าไปข้างใน

ชั้น 26 เป็นเหมือนบ้านของผมดีๆไม่ว่าคืนนั้นผมจะกลับบ้านจริงๆหรือไม่ เพราะชั้นนี้แทบจะเป็นห้องพักของคนในครอบครัวผมทั้งหมดเลย ถ้าไม่นับที่คุณพ่อมักจะนั่งอยู่อีกห้องที่ชั้นอื่นซะมากกว่า

ใช่แล้วล่ะครับ นามสกุลโวคเป็นนามสกุลไว้ต่อท้ายชื่อคุณหมอดีๆนี่เอง

แกรกๆๆ

"คุณโวค สวัสดีครับ"

"สวัสดีครับ"

ถึงจะบอกว่าเป็นเหมือนบ้านก็เถอะ แต่ว่าชั้นที่ 26 ก็รวมบุคคลนอกครอบครัวไว้เหมือนกัน

พยาบาลที่ทักทายผมเมื่อกี๊เข็นคนไข้ที่เดาว่าน่าจะอยู่ในสภาพโคม่าเข้าห้อง"นอน"ที่คุณอามาร์คัสของผมขอไว้ และคนเมื่อกี๊ที่เข้าไปก็คือสมาชิกประจำห้องนอนคนที่ 7 ตลอดเวลาเกือบปีที่ผ่านมา

ห้อง"นอน"นี้ก็คือห้องที่รวมผู้ป่วย'โคม่า'แบบไม่ทราบสาเหตุ ถ้าเป็นคำพูดไว้เล่าให้เพื่อนฟังก็คือกลุ่มที่เหมือนจะไหลตาย ส่วนใหญ่ทุกคนก็แค่เข้านอนดีๆแล้วก็"ไหลเป็น"ทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้ประสบอุบัติเหตุอะไรที่น่าจะส่งผลมาถึงการโคม่าครั้งนี้ได้

จาก 7 คนนี้จะมีอยู่3คนที่บังเอิญมีอาการอย่างหนึ่งร่วมเหมือนกันคือร่างกายมีบาดแผลหรือใช้งานไม่ได้อย่างไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน มีแค่คนเดียวที่เล่าอย่างติดตลกว่า"ฝันว่าโดนรถเหยียบกลางตัวแล้ววันนั้นฉันก็ตื่นมารู้สึกเหมือนโดนรัดรอบเอวตลอดเวลา แถมช่วงล่างลงไปก็รับรู้ความรู้สึกได้น้อยลงด้วย"

ถ้าเป็นคุณหมอคนอื่นๆล่ะก็คงไม่ใส่ใจคำบอกเล่าแบบนั้นแน่ๆ

แต่กับคุณอามาร์คัสกลับใส่ใจ

มันเป็นทฤษฎีเล็กๆที่เขาตั้งไว้ว่า ความฝันนั้นนอกจากจะเป็นการสะท้อนเบื้องลึกของจิตใจอันเป็นผลลัพธ์ของการจัดระเบียบข้อมูลในสมองแล้ว ยังส่งผลต่อร่างกายบุคคลบางกลุ่มอย่างยิ่ง อย่างเช่นคุณผู้หญิงคนที่สองทางซ้ายมือจากหลังห้องผู้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าที่ผมยกมาเมื่อกี๊

ผมเองก็..

ทันทีที่ลองบิดเอี้ยวตัวเล็กน้อย

"โอ๊ย"

ขยับไปมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆด้วย

วันก่อนฝันว่าโดนงูกัดคอแล้วผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนช้ำเล็กน้อย แต่ไม่มีร่องรอยอะไรปรากฏให้เห็นบนผิวได้เลย ส่วนเมื่อคืนก็ฝันว่านั่งเก้าอี้อยู่ดีๆแล้วกลายเป็นว่าเอาหลังไปนาบตัวตั้งฉากกับวงกลบกระจกชั้นสูงจนร่วงลงมาหลังหักซะงั้น


มันคงฟังดูตลกนิดๆ แต่เพราะด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ผมเลยไม่เคยปฏิเสธคำบอกเล่าของคุณแบลร์เช่นกัน

ระหว่างที่ผมกำลังเชยชมสมาชิกคนใหม่ของห้องนอนพลางเอามือแตะๆหลังเพื่อบรรเทานั้น

"คนนี้ชื่อเลียม บัลลาร์ด" เสียงของบุคคลที่แสนจะคุ้นเคยปนเบื่อหน้าก็ดังมาจากข้างหลังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง "เคยมีประวัติแขนเหมือนอัมพาตแบบหาต้นตอไม่ได้ด้วยนะ"

เป๊าะ

"โอ๊ย! เดี๋ยวสิครับอา!"

เขาดีดนิ้วที่หลังผม ณ จุดที่เป็นตัวปัญหาของวันนี้

"ก็เห็นทำท่าปวดหลัง เลยดีดกระดูกกลับเข้าที่ไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ เป็นไงๆ อาเลียนแบบคนไข้วันนี้เหมือนมั้ยย"

นี่แหละนะคุณอาผม..

"เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเท่าไหร่นะครับผมว่า เหอะๆ.."

"งั้นหรอ ถ้างั้นนับฉันเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หมอก็แล้วกันนะ!" เขายิ้มร่าแล้วเอามือมายีหัวผมทั้งที่ผมก็ตัวโตจนจะเท่าเขาอยู่แล้ว "แล้วหลังไปโดนอะไรมาล่ะ"

ในฐานะคนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ได้รับมอบหมายให้จับตามองการวิจัยของเขา ผมก็พูดเหตุผลที่แท้จริงไม่ได้เป็นอันขาด

"โดนลูกบอลเตะอัดหลังมาครับ อะ แต่เพื่อนผมไม่ได้ตั้งใจเล็งผมนะ เพราะงั้นไม่เป็นไร"

"เห" สายตาที่ดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจับจ้องมาทางผม "...แต่ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเขาน่าจะเล็งคนอื่นล่ะม้าง?"

"ไม่เกี่ยวสักหน่อยนี่หน่า ไม่ต้องไปเอาเรื่องเขาเชียวล่ะ"

"จ้าๆ"

"แล้ว..."ผมกลับมามองสมาชิกคนใหม่อีกรอบ "คุณคนนี้เขาเคยบอกว่าฝันว่าสูญเสียแขนด้วยหรอครับ"

"เป็นเฟริลเอง เฟริลจะกล้าเล่าแบบนั้นให้ใครฟังมั้ยล่ะ"

"...ก็...ไม่"

ไม่จริงๆนั่นแหละ

"นั่นแหละ แต่ฉันเชื่อว่าฝันว่าสูญเสียแขนมาแน่นอน"

"...ทำไมคุณอาถึงได้คิดว่ามันโยงกับเรื่องความฝันหรอครับ?"

สายตาของเขาดูตกใจน้อยๆที่ผมมีท่าทีสนใจแนวความคิดของเขาโดยไม่เกี่ยวข้องกับคำสั่งที่ผมได้รับมาจากพ่อ "สรุปก็แอบสนใจกับเรื่องที่อาคิดสินะ แหม่ เจ้าเด็กปากไม่ตรงกับใจ"

"เพราะชอบพูดงี้ไงครับผมถึงได้ไม่อยากสนใจ"

"หน่าๆ โอ๋ อาขอโทษ ฮ่าๆๆ" เขาหัวเราะตาหยีและเสียงดังพอ โชคดีที่ผู้คนในห้องนี้หลับอย่างสนิทและไม่มีทางตื่นด้วยเสียงของคุณอามาร์คัส "ก็คงเหมือนplacebo effectนั่นแหละ"

"แต่อันนั้นมันขึ้นอยู่กับexpectationของผู้ที่รับยาเข้าไปไม่ใช่หรอครับ ไม่มีใครเขาexpectว่าความฝันที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นจริงหรอกน่า"

"...จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว แต่บ่าวก็มีความคิดและวิธีการของตัวอยู่เหมือนกันนะ? อย่าเพิ่งcross possibility outสิ"

คุณอาคงไม่มีทางเข้าใจ ว่าคำพูดเมื่อกี๊ของผมนั้น ใช้ในเชิงตัดพ้อมากกว่าจะเป็นการตอบโต้ประเด็น

"..แต่ถ้าอย่างนั้น พวกเราหาคนที่ได้รับผลกระทบจากความฝันแล้วยังตื่นมาบอกเล่าความฝันตัวเองได้ไม่ดีกว่าหรอ น่าจะตรงประเด็นมากกว่านะครับ?"

"ถ้าหาได้ พวกเขาก็คงเลือกจะหนีอาตั้งแต่sessionแรกๆเหมือนกัน ฮะๆ... สนใจจริงๆสินะเนี่ย เราน่ะ แต่จริงๆถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้แหละ"

"ถ้ากรณีแบบนั้น ผมก็รู้จักอยู่คนหนึ่งนะ"

เหมือนเขาจะตกใจจริงๆด้วย "ฮื้อ ใครน่ะ? จะช่วยหาคนมางั้นหรอ?"

"ผมคงไม่พาเขามาหาคุณอาหรอกครับ เขาคงได้เกลียดผมตายพอดี" มุมปากผมกระตุกยิ้มนิดๆเชิงเย้ยหยันคนตรงหน้าเล็กน้อย "แต่ผมจะเอาคำบอกเล่าในฐานะเพื่อนของเขามาให้แทน น้องสาวของแบรี่ ชแวร์เมอร์น่ะครับ"

"..ชแวร์เมอร์...? 2312นั่นน่ะหรอ? บังเอิญจังเลยนะเนี่ย"

================================================


Comments

Popular posts from this blog

[Theory] Royal Scandal Vocaloid(?) Series [TH]

SWEET HURT - ReoNa [English & Thai Translation]

[Shoujo☆Kageki Revue Starlight]RE:CREATE lyrics[แปลไทย]