09.24 ทำตัวเหมือนว่างเลยมาทด 4.1
"เข้าเช็คMRIแล้วหรือยัง"
https://science.howstuffworks.com/life/inside-the-mind/human-brain/coma4.htm
"เรียบร้อยครับ แต่ก็ไม่พบเนื้องอกหรือความผิดปกติอะไรทางสมองเลยนะครับ"
"งั้นหรอ... ญาติผู้ป่วยเองก็บอกว่าปกติดีแล้วคืนถัดมาก็โคม่าเลยสินะ"
"ครับผม"
"...แต่ดูๆแล้วก็ไม่อันตรายกับชีวิตอะไรล่ะนะ ส่งเข้าICUก่อนก็แล้วกัน"
"เห~ คนนี้ใช่มั้ยนะที่เคยมีประวัติแขนซ้ายอัมพาตแต่ไม่พบความผิดปกติอะไร"
ทั้งแพทย์และผู้ช่วยถึงกับชะงักและอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยทันทีที่บุคคลที่สามของบทสนทนาโพล่งเข้ามา สีหน้ามีความเลิ่กลั่กเล็กน้อยก่อนจะตอบเจ้าของเรือนผมสีดำ "ถ้า..คุณบัลลาร์ด...ก็...ใช่ครับ"
"อ้าว งั้นก็ดีเลย ฝากบอกญาติคุณบัลลาร์ดด้วยว่าเดี๋ยวผมรับต่อเอง" บุคคลที่เหมือนจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญตอบทันควันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าตื่นเต้น "คุณพยาบาลพาเขาเข้าตึกBเลยก็ได้ ชั้น26นะ"
"รับทราบค่ะคุณหมอโวค"
"ม่ายอาวหน่า อย่าเรียกด้วยนามสกุลสิ เดี๋ยวมันจะมีคนที่สะดุ้งเพราะนึกว่าเป็นผอ.เองกันพอดี เรียกมาร์คัสๆ โอเค้? โอเค" เหมือนเจ้าตัวจะไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายทำความเข้าใจเพื่อตอบกลับแล้วเดินออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าตั้งใจซุ่มฟังบทสนทนาแล้วพุ่งมาเพื่อเขารับเคสนี้ต่อโดยเฉพาะ
=======================
"ของหวานน้องชายคุณผอ.เลยสินะ"
"แต่ที่รับมาก็คนที่ 7 แล้วนะ ไม่คิดว่ามันจะเยอะไปหน่อยหรอ"
"...คงอยากพิสูจน์ทฤษฎีตัวเองล่ะมั้งท่า แต่ก็เท่าที่ได้ยินมาอะนะ"
บทสนทนาที่ผมได้ยินก็จะมีเนื้อหาประมาณนี้อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาลอนดอนแล้วมีโรงพยาบาลเว•ลิงตันเป็นบ้านหลังที่2.5
"อ้าว นั่นน้องโวคนี่หน่า สวัสดียามเย็นจ้า"
"น้องเฟริลลล"
"อะฮะฮะ.. สวัสดีครับทั้งสองคน"
และตั้งแต่ย้ายมา ก็มีคนทักทายผมเวลาผมปรากฏตัวเยอะขึ้นเกินสองเท่า
การได้รับความเอ็นดูจากที่ทำงานของพ่อแม่มันก็ดีอยู่หรอก ถึงอย่างนั้นผมกลับยังคงอยากให้คนส่วนใหญ่เบลอๆผมไปบ้างมากกว่าในหลายโอกาส
ผมยิ้มและโบกมือน้อยๆตอบคำทักทายของพยาบาลสาวทั้งสองแล้วก้าวเท้าเดินให้ไวขึ้นเล็กน้อยไปทางโถงลิฟต์สำหรับบุคลากร ระหว่างรอก็ก้มหน้าเลื่อนจอมือถือพลางหวังว่าจะไม่โดนสังเกตเห็น
กิ๊งง
คนในลิฟต์ราวๆ 2-3 คนเดินสวนออกมาก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยพวกผมที่ยืนรออยู่ข้างหน้า
17
23
9
"อะ รบกวนชั้นที่ 26 ด้วยนะครับ"
"ได้เลยพ่อหนุ่ม"
26
"ขอบคุณมากครับ"
ทั้งเรื่องกดลิฟต์และเรื่องไม่ชวนผมคุยต่อ
เพราะชั้นdestinationของผมนั้นอยู่ท้ายๆทำให้ใจจดใจจ่อในการเงี่ยหูฟังว่าจะมีใครชวนผมคุยอะไรหรือเปล่า ดูเหมือนว่าจะโฟกัสเสียเที่ยวล่ะนะ ซึ่งก็ดีแล้ว
กิ๊ง
พอถึงชั้นปลายทางของผมก็รีบค้อมหัวตอนเดินออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาก่อนจะเอาบัตรแตะเครื่องแล้วผลักประตูกระจกเข้าไปข้างใน
ชั้น 26 เป็นเหมือนบ้านของผมดีๆไม่ว่าคืนนั้นผมจะกลับบ้านจริงๆหรือไม่ เพราะชั้นนี้แทบจะเป็นห้องพักของคนในครอบครัวผมทั้งหมดเลย ถ้าไม่นับที่คุณพ่อมักจะนั่งอยู่อีกห้องที่ชั้นอื่นซะมากกว่า
ใช่แล้วล่ะครับ นามสกุลโวคเป็นนามสกุลไว้ต่อท้ายชื่อคุณหมอดีๆนี่เอง
แกรกๆๆ
"คุณโวค สวัสดีครับ"
"สวัสดีครับ"
ถึงจะบอกว่าเป็นเหมือนบ้านก็เถอะ แต่ว่าชั้นที่ 26 ก็รวมบุคคลนอกครอบครัวไว้เหมือนกัน
พยาบาลที่ทักทายผมเมื่อกี๊เข็นคนไข้ที่เดาว่าน่าจะอยู่ในสภาพโคม่าเข้าห้อง"นอน"ที่คุณอามาร์คัสของผมขอไว้ และคนเมื่อกี๊ที่เข้าไปก็คือสมาชิกประจำห้องนอนคนที่ 7 ตลอดเวลาเกือบปีที่ผ่านมา
ห้อง"นอน"นี้ก็คือห้องที่รวมผู้ป่วย'โคม่า'แบบไม่ทราบสาเหตุ ถ้าเป็นคำพูดไว้เล่าให้เพื่อนฟังก็คือกลุ่มที่เหมือนจะไหลตาย ส่วนใหญ่ทุกคนก็แค่เข้านอนดีๆแล้วก็"ไหลเป็น"ทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้ประสบอุบัติเหตุอะไรที่น่าจะส่งผลมาถึงการโคม่าครั้งนี้ได้
จาก 7 คนนี้จะมีอยู่3คนที่บังเอิญมีอาการอย่างหนึ่งร่วมเหมือนกันคือร่างกายมีบาดแผลหรือใช้งานไม่ได้อย่างไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน มีแค่คนเดียวที่เล่าอย่างติดตลกว่า"ฝันว่าโดนรถเหยียบกลางตัวแล้ววันนั้นฉันก็ตื่นมารู้สึกเหมือนโดนรัดรอบเอวตลอดเวลา แถมช่วงล่างลงไปก็รับรู้ความรู้สึกได้น้อยลงด้วย"
ถ้าเป็นคุณหมอคนอื่นๆล่ะก็คงไม่ใส่ใจคำบอกเล่าแบบนั้นแน่ๆ
แต่กับคุณอามาร์คัสกลับใส่ใจ
มันเป็นทฤษฎีเล็กๆที่เขาตั้งไว้ว่า ความฝันนั้นนอกจากจะเป็นการสะท้อนเบื้องลึกของจิตใจอันเป็นผลลัพธ์ของการจัดระเบียบข้อมูลในสมองแล้ว ยังส่งผลต่อร่างกายบุคคลบางกลุ่มอย่างยิ่ง อย่างเช่นคุณผู้หญิงคนที่สองทางซ้ายมือจากหลังห้องผู้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าที่ผมยกมาเมื่อกี๊
ผมเองก็..
ทันทีที่ลองบิดเอี้ยวตัวเล็กน้อย
"โอ๊ย"
ขยับไปมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆด้วย
วันก่อนฝันว่าโดนงูกัดคอแล้วผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนช้ำเล็กน้อย แต่ไม่มีร่องรอยอะไรปรากฏให้เห็นบนผิวได้เลย ส่วนเมื่อคืนก็ฝันว่านั่งเก้าอี้อยู่ดีๆแล้วกลายเป็นว่าเอาหลังไปนาบตัวตั้งฉากกับวงกลบกระจกชั้นสูงจนร่วงลงมาหลังหักซะงั้น
มันคงฟังดูตลกนิดๆ แต่เพราะด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ผมเลยไม่เคยปฏิเสธคำบอกเล่าของคุณแบลร์เช่นกัน
ระหว่างที่ผมกำลังเชยชมสมาชิกคนใหม่ของห้องนอนพลางเอามือแตะๆหลังเพื่อบรรเทานั้น
"คนนี้ชื่อเลียม บัลลาร์ด" เสียงของบุคคลที่แสนจะคุ้นเคยปนเบื่อหน้าก็ดังมาจากข้างหลังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง "เคยมีประวัติแขนเหมือนอัมพาตแบบหาต้นตอไม่ได้ด้วยนะ"
เป๊าะ
"โอ๊ย! เดี๋ยวสิครับอา!"
เขาดีดนิ้วที่หลังผม ณ จุดที่เป็นตัวปัญหาของวันนี้
"ก็เห็นทำท่าปวดหลัง เลยดีดกระดูกกลับเข้าที่ไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ เป็นไงๆ อาเลียนแบบคนไข้วันนี้เหมือนมั้ยย"
นี่แหละนะคุณอาผม..
"เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเท่าไหร่นะครับผมว่า เหอะๆ.."
"งั้นหรอ ถ้างั้นนับฉันเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หมอก็แล้วกันนะ!" เขายิ้มร่าแล้วเอามือมายีหัวผมทั้งที่ผมก็ตัวโตจนจะเท่าเขาอยู่แล้ว "แล้วหลังไปโดนอะไรมาล่ะ"
ในฐานะคนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ได้รับมอบหมายให้จับตามองการวิจัยของเขา ผมก็พูดเหตุผลที่แท้จริงไม่ได้เป็นอันขาด
"โดนลูกบอลเตะอัดหลังมาครับ อะ แต่เพื่อนผมไม่ได้ตั้งใจเล็งผมนะ เพราะงั้นไม่เป็นไร"
"เห" สายตาที่ดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจับจ้องมาทางผม "...แต่ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเขาน่าจะเล็งคนอื่นล่ะม้าง?"
"ไม่เกี่ยวสักหน่อยนี่หน่า ไม่ต้องไปเอาเรื่องเขาเชียวล่ะ"
"จ้าๆ"
"แล้ว..."ผมกลับมามองสมาชิกคนใหม่อีกรอบ "คุณคนนี้เขาเคยบอกว่าฝันว่าสูญเสียแขนด้วยหรอครับ"
"เป็นเฟริลเอง เฟริลจะกล้าเล่าแบบนั้นให้ใครฟังมั้ยล่ะ"
"...ก็...ไม่"
ไม่จริงๆนั่นแหละ
"นั่นแหละ แต่ฉันเชื่อว่าฝันว่าสูญเสียแขนมาแน่นอน"
"...ทำไมคุณอาถึงได้คิดว่ามันโยงกับเรื่องความฝันหรอครับ?"
สายตาของเขาดูตกใจน้อยๆที่ผมมีท่าทีสนใจแนวความคิดของเขาโดยไม่เกี่ยวข้องกับคำสั่งที่ผมได้รับมาจากพ่อ "สรุปก็แอบสนใจกับเรื่องที่อาคิดสินะ แหม่ เจ้าเด็กปากไม่ตรงกับใจ"
"เพราะชอบพูดงี้ไงครับผมถึงได้ไม่อยากสนใจ"
"หน่าๆ โอ๋ อาขอโทษ ฮ่าๆๆ" เขาหัวเราะตาหยีและเสียงดังพอ โชคดีที่ผู้คนในห้องนี้หลับอย่างสนิทและไม่มีทางตื่นด้วยเสียงของคุณอามาร์คัส "ก็คงเหมือนplacebo effectนั่นแหละ"
"แต่อันนั้นมันขึ้นอยู่กับexpectationของผู้ที่รับยาเข้าไปไม่ใช่หรอครับ ไม่มีใครเขาexpectว่าความฝันที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นจริงหรอกน่า"
"...จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว แต่บ่าวก็มีความคิดและวิธีการของตัวอยู่เหมือนกันนะ? อย่าเพิ่งcross possibility outสิ"
คุณอาคงไม่มีทางเข้าใจ ว่าคำพูดเมื่อกี๊ของผมนั้น ใช้ในเชิงตัดพ้อมากกว่าจะเป็นการตอบโต้ประเด็น
"..แต่ถ้าอย่างนั้น พวกเราหาคนที่ได้รับผลกระทบจากความฝันแล้วยังตื่นมาบอกเล่าความฝันตัวเองได้ไม่ดีกว่าหรอ น่าจะตรงประเด็นมากกว่านะครับ?"
"ถ้าหาได้ พวกเขาก็คงเลือกจะหนีอาตั้งแต่sessionแรกๆเหมือนกัน ฮะๆ... สนใจจริงๆสินะเนี่ย เราน่ะ แต่จริงๆถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้แหละ"
"ถ้ากรณีแบบนั้น ผมก็รู้จักอยู่คนหนึ่งนะ"
เหมือนเขาจะตกใจจริงๆด้วย "ฮื้อ ใครน่ะ? จะช่วยหาคนมางั้นหรอ?"
"ผมคงไม่พาเขามาหาคุณอาหรอกครับ เขาคงได้เกลียดผมตายพอดี" มุมปากผมกระตุกยิ้มนิดๆเชิงเย้ยหยันคนตรงหน้าเล็กน้อย "แต่ผมจะเอาคำบอกเล่าในฐานะเพื่อนของเขามาให้แทน น้องสาวของแบรี่ ชแวร์เมอร์น่ะครับ"
"..ชแวร์เมอร์...? 2312นั่นน่ะหรอ? บังเอิญจังเลยนะเนี่ย"
================================================
https://science.howstuffworks.com/life/inside-the-mind/human-brain/coma4.htm
"เรียบร้อยครับ แต่ก็ไม่พบเนื้องอกหรือความผิดปกติอะไรทางสมองเลยนะครับ"
"งั้นหรอ... ญาติผู้ป่วยเองก็บอกว่าปกติดีแล้วคืนถัดมาก็โคม่าเลยสินะ"
"ครับผม"
"...แต่ดูๆแล้วก็ไม่อันตรายกับชีวิตอะไรล่ะนะ ส่งเข้าICUก่อนก็แล้วกัน"
"เห~ คนนี้ใช่มั้ยนะที่เคยมีประวัติแขนซ้ายอัมพาตแต่ไม่พบความผิดปกติอะไร"
ทั้งแพทย์และผู้ช่วยถึงกับชะงักและอ้ำอึ้งไปเล็กน้อยทันทีที่บุคคลที่สามของบทสนทนาโพล่งเข้ามา สีหน้ามีความเลิ่กลั่กเล็กน้อยก่อนจะตอบเจ้าของเรือนผมสีดำ "ถ้า..คุณบัลลาร์ด...ก็...ใช่ครับ"
"อ้าว งั้นก็ดีเลย ฝากบอกญาติคุณบัลลาร์ดด้วยว่าเดี๋ยวผมรับต่อเอง" บุคคลที่เหมือนจะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญตอบทันควันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าตื่นเต้น "คุณพยาบาลพาเขาเข้าตึกBเลยก็ได้ ชั้น26นะ"
"รับทราบค่ะคุณหมอโวค"
"ม่ายอาวหน่า อย่าเรียกด้วยนามสกุลสิ เดี๋ยวมันจะมีคนที่สะดุ้งเพราะนึกว่าเป็นผอ.เองกันพอดี เรียกมาร์คัสๆ โอเค้? โอเค" เหมือนเจ้าตัวจะไม่เปิดช่องว่างให้อีกฝ่ายทำความเข้าใจเพื่อตอบกลับแล้วเดินออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าตั้งใจซุ่มฟังบทสนทนาแล้วพุ่งมาเพื่อเขารับเคสนี้ต่อโดยเฉพาะ
=======================
"ของหวานน้องชายคุณผอ.เลยสินะ"
"แต่ที่รับมาก็คนที่ 7 แล้วนะ ไม่คิดว่ามันจะเยอะไปหน่อยหรอ"
"...คงอยากพิสูจน์ทฤษฎีตัวเองล่ะมั้งท่า แต่ก็เท่าที่ได้ยินมาอะนะ"
บทสนทนาที่ผมได้ยินก็จะมีเนื้อหาประมาณนี้อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่ย้ายเข้ามาลอนดอนแล้วมีโรงพยาบาลเว•ลิงตันเป็นบ้านหลังที่2.5
"อ้าว นั่นน้องโวคนี่หน่า สวัสดียามเย็นจ้า"
"น้องเฟริลลล"
"อะฮะฮะ.. สวัสดีครับทั้งสองคน"
และตั้งแต่ย้ายมา ก็มีคนทักทายผมเวลาผมปรากฏตัวเยอะขึ้นเกินสองเท่า
การได้รับความเอ็นดูจากที่ทำงานของพ่อแม่มันก็ดีอยู่หรอก ถึงอย่างนั้นผมกลับยังคงอยากให้คนส่วนใหญ่เบลอๆผมไปบ้างมากกว่าในหลายโอกาส
ผมยิ้มและโบกมือน้อยๆตอบคำทักทายของพยาบาลสาวทั้งสองแล้วก้าวเท้าเดินให้ไวขึ้นเล็กน้อยไปทางโถงลิฟต์สำหรับบุคลากร ระหว่างรอก็ก้มหน้าเลื่อนจอมือถือพลางหวังว่าจะไม่โดนสังเกตเห็น
กิ๊งง
คนในลิฟต์ราวๆ 2-3 คนเดินสวนออกมาก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยพวกผมที่ยืนรออยู่ข้างหน้า
17
23
9
"อะ รบกวนชั้นที่ 26 ด้วยนะครับ"
"ได้เลยพ่อหนุ่ม"
26
"ขอบคุณมากครับ"
ทั้งเรื่องกดลิฟต์และเรื่องไม่ชวนผมคุยต่อ
เพราะชั้นdestinationของผมนั้นอยู่ท้ายๆทำให้ใจจดใจจ่อในการเงี่ยหูฟังว่าจะมีใครชวนผมคุยอะไรหรือเปล่า ดูเหมือนว่าจะโฟกัสเสียเที่ยวล่ะนะ ซึ่งก็ดีแล้ว
กิ๊ง
พอถึงชั้นปลายทางของผมก็รีบค้อมหัวตอนเดินออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวาก่อนจะเอาบัตรแตะเครื่องแล้วผลักประตูกระจกเข้าไปข้างใน
ชั้น 26 เป็นเหมือนบ้านของผมดีๆไม่ว่าคืนนั้นผมจะกลับบ้านจริงๆหรือไม่ เพราะชั้นนี้แทบจะเป็นห้องพักของคนในครอบครัวผมทั้งหมดเลย ถ้าไม่นับที่คุณพ่อมักจะนั่งอยู่อีกห้องที่ชั้นอื่นซะมากกว่า
ใช่แล้วล่ะครับ นามสกุลโวคเป็นนามสกุลไว้ต่อท้ายชื่อคุณหมอดีๆนี่เอง
แกรกๆๆ
"คุณโวค สวัสดีครับ"
"สวัสดีครับ"
ถึงจะบอกว่าเป็นเหมือนบ้านก็เถอะ แต่ว่าชั้นที่ 26 ก็รวมบุคคลนอกครอบครัวไว้เหมือนกัน
พยาบาลที่ทักทายผมเมื่อกี๊เข็นคนไข้ที่เดาว่าน่าจะอยู่ในสภาพโคม่าเข้าห้อง"นอน"ที่คุณอามาร์คัสของผมขอไว้ และคนเมื่อกี๊ที่เข้าไปก็คือสมาชิกประจำห้องนอนคนที่ 7 ตลอดเวลาเกือบปีที่ผ่านมา
ห้อง"นอน"นี้ก็คือห้องที่รวมผู้ป่วย'โคม่า'แบบไม่ทราบสาเหตุ ถ้าเป็นคำพูดไว้เล่าให้เพื่อนฟังก็คือกลุ่มที่เหมือนจะไหลตาย ส่วนใหญ่ทุกคนก็แค่เข้านอนดีๆแล้วก็"ไหลเป็น"ทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้ประสบอุบัติเหตุอะไรที่น่าจะส่งผลมาถึงการโคม่าครั้งนี้ได้
จาก 7 คนนี้จะมีอยู่3คนที่บังเอิญมีอาการอย่างหนึ่งร่วมเหมือนกันคือร่างกายมีบาดแผลหรือใช้งานไม่ได้อย่างไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน มีแค่คนเดียวที่เล่าอย่างติดตลกว่า"ฝันว่าโดนรถเหยียบกลางตัวแล้ววันนั้นฉันก็ตื่นมารู้สึกเหมือนโดนรัดรอบเอวตลอดเวลา แถมช่วงล่างลงไปก็รับรู้ความรู้สึกได้น้อยลงด้วย"
ถ้าเป็นคุณหมอคนอื่นๆล่ะก็คงไม่ใส่ใจคำบอกเล่าแบบนั้นแน่ๆ
แต่กับคุณอามาร์คัสกลับใส่ใจ
มันเป็นทฤษฎีเล็กๆที่เขาตั้งไว้ว่า ความฝันนั้นนอกจากจะเป็นการสะท้อนเบื้องลึกของจิตใจอันเป็นผลลัพธ์ของการจัดระเบียบข้อมูลในสมองแล้ว ยังส่งผลต่อร่างกายบุคคลบางกลุ่มอย่างยิ่ง อย่างเช่นคุณผู้หญิงคนที่สองทางซ้ายมือจากหลังห้องผู้เป็นเจ้าของเรื่องเล่าที่ผมยกมาเมื่อกี๊
ผมเองก็..
ทันทีที่ลองบิดเอี้ยวตัวเล็กน้อย
"โอ๊ย"
ขยับไปมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆด้วย
วันก่อนฝันว่าโดนงูกัดคอแล้วผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนช้ำเล็กน้อย แต่ไม่มีร่องรอยอะไรปรากฏให้เห็นบนผิวได้เลย ส่วนเมื่อคืนก็ฝันว่านั่งเก้าอี้อยู่ดีๆแล้วกลายเป็นว่าเอาหลังไปนาบตัวตั้งฉากกับวงกลบกระจกชั้นสูงจนร่วงลงมาหลังหักซะงั้น
มันคงฟังดูตลกนิดๆ แต่เพราะด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ผมเลยไม่เคยปฏิเสธคำบอกเล่าของคุณแบลร์เช่นกัน
ระหว่างที่ผมกำลังเชยชมสมาชิกคนใหม่ของห้องนอนพลางเอามือแตะๆหลังเพื่อบรรเทานั้น
"คนนี้ชื่อเลียม บัลลาร์ด" เสียงของบุคคลที่แสนจะคุ้นเคยปนเบื่อหน้าก็ดังมาจากข้างหลังอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง "เคยมีประวัติแขนเหมือนอัมพาตแบบหาต้นตอไม่ได้ด้วยนะ"
เป๊าะ
"โอ๊ย! เดี๋ยวสิครับอา!"
เขาดีดนิ้วที่หลังผม ณ จุดที่เป็นตัวปัญหาของวันนี้
"ก็เห็นทำท่าปวดหลัง เลยดีดกระดูกกลับเข้าที่ไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ เป็นไงๆ อาเลียนแบบคนไข้วันนี้เหมือนมั้ยย"
นี่แหละนะคุณอาผม..
"เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเท่าไหร่นะครับผมว่า เหอะๆ.."
"งั้นหรอ ถ้างั้นนับฉันเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่หมอก็แล้วกันนะ!" เขายิ้มร่าแล้วเอามือมายีหัวผมทั้งที่ผมก็ตัวโตจนจะเท่าเขาอยู่แล้ว "แล้วหลังไปโดนอะไรมาล่ะ"
ในฐานะคนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ได้รับมอบหมายให้จับตามองการวิจัยของเขา ผมก็พูดเหตุผลที่แท้จริงไม่ได้เป็นอันขาด
"โดนลูกบอลเตะอัดหลังมาครับ อะ แต่เพื่อนผมไม่ได้ตั้งใจเล็งผมนะ เพราะงั้นไม่เป็นไร"
"เห" สายตาที่ดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจับจ้องมาทางผม "...แต่ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเขาน่าจะเล็งคนอื่นล่ะม้าง?"
"ไม่เกี่ยวสักหน่อยนี่หน่า ไม่ต้องไปเอาเรื่องเขาเชียวล่ะ"
"จ้าๆ"
"แล้ว..."ผมกลับมามองสมาชิกคนใหม่อีกรอบ "คุณคนนี้เขาเคยบอกว่าฝันว่าสูญเสียแขนด้วยหรอครับ"
"เป็นเฟริลเอง เฟริลจะกล้าเล่าแบบนั้นให้ใครฟังมั้ยล่ะ"
"...ก็...ไม่"
ไม่จริงๆนั่นแหละ
"นั่นแหละ แต่ฉันเชื่อว่าฝันว่าสูญเสียแขนมาแน่นอน"
"...ทำไมคุณอาถึงได้คิดว่ามันโยงกับเรื่องความฝันหรอครับ?"
สายตาของเขาดูตกใจน้อยๆที่ผมมีท่าทีสนใจแนวความคิดของเขาโดยไม่เกี่ยวข้องกับคำสั่งที่ผมได้รับมาจากพ่อ "สรุปก็แอบสนใจกับเรื่องที่อาคิดสินะ แหม่ เจ้าเด็กปากไม่ตรงกับใจ"
"เพราะชอบพูดงี้ไงครับผมถึงได้ไม่อยากสนใจ"
"หน่าๆ โอ๋ อาขอโทษ ฮ่าๆๆ" เขาหัวเราะตาหยีและเสียงดังพอ โชคดีที่ผู้คนในห้องนี้หลับอย่างสนิทและไม่มีทางตื่นด้วยเสียงของคุณอามาร์คัส "ก็คงเหมือนplacebo effectนั่นแหละ"
"แต่อันนั้นมันขึ้นอยู่กับexpectationของผู้ที่รับยาเข้าไปไม่ใช่หรอครับ ไม่มีใครเขาexpectว่าความฝันที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นจริงหรอกน่า"
"...จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว แต่บ่าวก็มีความคิดและวิธีการของตัวอยู่เหมือนกันนะ? อย่าเพิ่งcross possibility outสิ"
คุณอาคงไม่มีทางเข้าใจ ว่าคำพูดเมื่อกี๊ของผมนั้น ใช้ในเชิงตัดพ้อมากกว่าจะเป็นการตอบโต้ประเด็น
"..แต่ถ้าอย่างนั้น พวกเราหาคนที่ได้รับผลกระทบจากความฝันแล้วยังตื่นมาบอกเล่าความฝันตัวเองได้ไม่ดีกว่าหรอ น่าจะตรงประเด็นมากกว่านะครับ?"
"ถ้าหาได้ พวกเขาก็คงเลือกจะหนีอาตั้งแต่sessionแรกๆเหมือนกัน ฮะๆ... สนใจจริงๆสินะเนี่ย เราน่ะ แต่จริงๆถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้แหละ"
"ถ้ากรณีแบบนั้น ผมก็รู้จักอยู่คนหนึ่งนะ"
เหมือนเขาจะตกใจจริงๆด้วย "ฮื้อ ใครน่ะ? จะช่วยหาคนมางั้นหรอ?"
"ผมคงไม่พาเขามาหาคุณอาหรอกครับ เขาคงได้เกลียดผมตายพอดี" มุมปากผมกระตุกยิ้มนิดๆเชิงเย้ยหยันคนตรงหน้าเล็กน้อย "แต่ผมจะเอาคำบอกเล่าในฐานะเพื่อนของเขามาให้แทน น้องสาวของแบรี่ ชแวร์เมอร์น่ะครับ"
"..ชแวร์เมอร์...? 2312นั่นน่ะหรอ? บังเอิญจังเลยนะเนี่ย"
================================================
Comments
Post a Comment