เหตุผลที่ฉันไม่ชอบเธอ
มันขมุกขมัวในหัวมาตลอด 20 ปี และฉันรู้สึกไม่สบายใจกับการอธิบายมันมากไม่ได้ เพราะที่นี่มีเรื่องของบุญคุณของผู้ปกครองบ้างล่ะ บาปบุญคุณโทษบ้างล่ะ
เอนทรีนี้คงไม่ใช่ Final draft แต่อย่างน้อยเราจำเป็นต้อง pin point อะไรสักอย่างออกมาให้ได้
เหตุผลที่ฉันไม่ชอบ "ผู้หญิงคนนั้น" มีดังนี้
1. เธอนั่นช่างผิวเผิน
ตามหน้าที่ของคนที่ทำงานประเภทการตลาด การให้ความสนใจเกี่ยวข้องกับตัวเลขอย่างยอดผู้ติดตาม ยอดฟัง ยอดวิว อะไรที่เป็นกระแส เวลาพูดคุยถึงเรื่องที่คุณค่าน่าจะมาเป็นหลัก อย่างดนตรี อาหาร หรือหนังสือ เธอก็จะพูดแต่เรื่องตัวเลขเสมอ และตบท้ายว่า "เนี่ย (สิ่งนี้)กำลังเป็นกระแสเลยนะ"
อา? ไม่รู้สิ ในฐานะที่ฉันเป็นคนส่วนน้อยมาตั้งแต่เล็ก โดนคนส่วนใหญ่ดูถูกเหยียดหยามและหัวเราะเยาะในสิ่งที่ฉันชื่นชม ชื่นชอบ เสพ และเป็นมาแต่ไหนแต่ไร ฉันแทบไม่รู้จะไม่สนใจพวกเขา"ส่วนใหญ่"ยังไงให้ไม่สนใจกว่านี้แล้ว เพราะฉะนั้น ปฏิกิริยาในใจฉันแรก ๆ ก็คงไม่พ้นข้อความเสียมารยาทอย่าง "แล้วยังไงล่ะ?"
นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องของคำคุณศัพท์ที่เลือกใช้ เธอไม่เคยพูดถึงคุณสมบัติของมันอะไรไปมากกว่าคำว่า "อร่อย ดี แย่ ชั่ว เพราะ" คำพวกนั้นมีความหมายและการวัดค่าที่ปัจเจกมากแท้ ๆ ประสบกับย่อหน้าบนที่พูดไป ว่าเดิมทีฉันก็เป็นคนส่วนน้อยมาแต่ไหนแต่ไร ฉันก็ยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีก...
ลำพังแค่พิมพ์ข้อแรก มันก็ลากมาได้ถึงข้อ 2 ทันที
2. เธอไม่รู้จักฉัน
การที่ไม่รู้ว่าฉันนั้นไม่ชอบสิ่งไหน ไม่สบายใจกับการกระทำอะไรนั้น ถ้าจะไม่ทราบก็คงไม่แปลกในกรณีของคนที่รู้จักกันแค่ชั่วคราว หรือไม่ได้สานสัมพันธ์อะไรไปได้ไกลกว่านั้น
...แต่ในฐานะที่เธอเป็นผู้ให้กำเนิดฉันแล้วนั้น ข้อนี้มันช่างน่าอดสูเสียนี่ประไร
ความคิดนี้มันน่าจะพ่วงมากจากการที่ยิ่งมีธุระพันเกี่ยวกันเท่าไหร่ เรายิ่งต้องปฏิสัมพันธ์ต่อกันเยอะขึ้น และนั่นหมายความว่าการสานสัมพันธ์ ยิ่งในระยะยาวเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องทำความรู้จักอีกฝ่ายให้ดี การใส่ใจเพียงเล็กน้อย ในฐานะคนร่วมงานนั้นก็ยังมีเลย เพราะฉะนั้นคนที่มีหน้าที่เลี้ยงดู ส่งเสียตั้งแต่เกิดจนโตล่ะ? จะไม่ยิ่งเป็นขั้นกว่าของสิ่งนี้ได้หรือยังไง
3. เพราะเธอไม่ใส่ใจ
ใช่แล้วล่ะ ถ้าในกรณีที่ฉันไม่เคยเผยให้ใครได้ทราบล่ะก็ ยังคงพอให้อภัย หรือเคยเผยให้ใครได้ทราบแล้วแต่นานเสียจนเหมาะสมที่จะลืม ฉันก็คงไม่ถือสาอะไร แต่ของบางอย่างที่พูดไป พูดซ้ำ ๆ ในระยะห่างกันไม่เกิน 1 สัปดาห์แล้วเนี่ย ฉันว่ามันเข้าข่ายว่าไม่ใส่ใจแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำหนดการ หรือของที่ฉันรังเกียจ พฤติกรรมที่ไม่สบายใจ หรือข้อมูลพื้นฐานอย่างเช่นฉันเรียนอยู่ในคณะอะไรเป็นเวลาถึง 5 ปี
4. ความช่างเป็นนักตัดสิน
ไม่รู้ว่ามันเป็นเทรนด์ของผู้ใหญ่รุ่นราวคราว Baby Boomer หรืออย่างไร แต่พวกเขามักจะมีทัศนคติที่คับแคบและด่วนตัดสิน เมื่อไหร่ก็ตามที่ไม่ตรงกับแนวคิดของพวกเขา พวกเขาจะตัดสินใจและกวาดสิ่งนั้นว่าเป็นของที่ชั่วร้ายทันที
หลายครั้งที่ฉันทำของผิดพลาดเล็กๆน้อย เธอจะตัดสินว่าฉันนั้นแย่ทุกที ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานของจริยธรรมที่แย่กว่า จนกลายเป็นคนชั่ว หรือเป็นคนที่มารยาทแย่กว่า จนกลายเป็นคนไม่มีมารยาท
ทำให้ตามมาด้วยข้อ 5
5. เธอนั้นคิดว่าตัวเองช่างสูงส่ง
การเรียนธรรมะ การเคยบวชชี การทำงานมาเนิ่นนาน การเรียนจบปริญญาโท คงทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นดีกว่าใครต่อใคร ฉันเองก็คงมีการตกหล่มในประเด็นประมาณนี้เช่นกัน แต่ฉันไม่คิดว่าใครจะชอบหรอกการที่อยู่กับใครสักคนที่พวกเรารู้ว่าเขาไม่มีวันมองพวกเราเท่ากัน ...แล้วยิ่งในความสัมพันธ์ที่กระท่อนกระแท่นแล้วนั้น ยิ่งไม่น่าดันทุรังอยู่เข้าไปใหญ่
ด้วยการที่คิดว่าตัวเองนั้นดีและสูงส่งนั้น เขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะต้องให้โลกและคนรอบตัวเขายิ่งรับรู้ว่าเ้ขานั้นดีและสูงส่งเพียงไหน
6. การที่ปฏิบัติต่อคนอื่น(ฉัน)ในฐานะเครื่องประดับ
ของนอกกายจะถูกประโคมมาให้, ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่, เพื่อเป็นองค์ประกอบในเฟรมถ่ายรูป พร้อมกับแคปชั่นว่ามีความสุขที่สุด ในบทบาทของมารดา ที่สังคมจะมีการประเมินว่า เธอกับบุตรของเธอนั้นรักกันดีหรือไม่ หรือการอวดความสำเร็จของฉัน, ในฐานะที่ฉันเป็นลูก, ว่าลูกสาวของตนนั้นเก่งเพียงไหนหรือทำอะไรสำเร็จมา ..ทั้งๆที่ส่วนที่ยากลำบากที่สุด เธอก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือฉันแท้ๆ
จริงๆข้อนี้เองก็คงเรียกว่า ช่างเคลมผลงาน ก็ได้เช่นกันล่ะมั้ง?
Comments
Post a Comment