ทด 6.1
ตี 2 คืนหนึ่งในหอพักตึกแถว เจ้าของเรือนผมสีแดงยาวหยักกำลังค่อยๆปลดกระดุมเสื้อและคลายสายรัดผมออกอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง หน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยเพราะไวน์ชั้นกากที่ดื่มกันกับเพื่อนๆระหว่างประชุมว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับสิ่งที่พวกเขาวาดฝันไว้ดี
นัยน์ตาสีเขียวประสานสายตาของตนในกระจก ถ้าให้เทียบเขากับเพื่อนตอนนี้ที่ต่างก็แยกย้ายกลับกันไปแล้ว เขาท่าทางจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังคงคงสติได้ดี ร่วมทั้งยังคงมีความคิดที่จริงจังจากการประชุมที่สลัดทิ้งไม่ออก
แต่ว่านี่เป็นยามใกล้นอนแล้ว เขาจำเป็นต้องสลัดมันทิ้ง ทั้งอุดมการณ์ที่วาดฝันไว้ และฉาก"ชายหนุ่ม"ที่เขาต้องเล่น
"เฮ่อ.... ถึงจะบอกว่าเริ่มชินก็เถอะ" หญิงสาวหน้ากระจกกล่าวกับเงาสะท้อนตัวเองก่อนจะกำจี้สร้อยคอแน่น
เธอนึกถึงวันที่เธอเก็บสร้อยล็อกเก็ตนี้มาจากพี่ชายหลังจากเฝ้าร่างของเด็กชายที่นอนแน่นิ่งไปหลายวันจนเริ่มส่งกลิ่นเหม็นแมลงเริ่มไต่ตอม เธอที่ไม่เคยดิ้นรนใช้ชีวิตมาก่อนก็ถึงตาลองเล่นแบบพี่ชายบ้าง
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีคนตามหาเธอจนพบ ไม่ใช่เจ้าของร้านขนมปัง ไม่ใช่นายตำรวจที่ตรวจตรา แต่เป็นเจ้าเมืองคนใหม่
"เป็นขุนนางแล้วต้องใช้ชีวิตตกต่ำแบบนี้ น่าสงสาร"
"ข้าจะพาเจ้ากลับมาใช้ชีวิตที่ควรเอง"
ปีนั้นเป็นปีที่ทางรัฐเพิ่งจะเข้าช่วยการรบเพื่ออิสรภาพของโลกใบใหม่จากการอยู่ภายใต้อาณัติของอังกฤษ คลังขาดดุลอย่างมากไปกับการสงคราม ดังนั้นเพื่อเร่งให้กลับสมดุลไวพวกเขาจำเป็นต้องขึ้นภาษี
ฟังเผินๆก็ดูเป็นการแก้ไขปัญหาที่ดี
แต่เรื่องอะไรที่ชาวฐานันดรที่ 2
ที่ถือที่ดินและร่ำรวยอย่างสุขสบายมาตลอดจะต้องมายอมเสียเงินพวกนี้ด้วย?
เพราะเงินทองกับอำนาจมักมาคู่กัน พวกเขาสุดท้ายก็หาช่องทางหลบหลีกได้เสมอ และก็ไม่พ้นคนที่รับภาระหนักที่สุด หรือก็คือประชาชนฐานันดร 3
ประชาชนในวันที่ขนมปังยังชีพนั้นขาดตลาดและไม่พอหล่อเลี้ยงปากท้องพวกเขาทั้งสิ้น
สำหรับแคว้นทางตอนเหนือที่ดรูเอต์เคยปกครองอยู่ก็เช่นกัน แต่สมัยของบ้านดรูเอต์ไม่เกิดเหตุฉุกเฉินนักจึงไม่มีการขูดรีดชาวเมืองหนักขนาดนี้ เหล่าชาวเมืองก็พาลชิงชังบ้านหลังใหม่ที่เข้ามาดูแลเมืองนี้พร้อมกับนโยบายที่ใช้งานจริงไม่ได้ของรัฐ
บ้านหลังนี้ที่เป็นเจ้าเมืองคนใหม่จะทำอย่างไรในเมื่อชาวบ้านมีการผูกคติกับตัวบุคคลและตระกูลล่ะ?
ข่าวลือที่ว่าหลังจากอัคคีภัยอันเลวร้ายที่เผาทำลายคฤหาสน์ของดรูเอต์อย่างย่อยยับกลับมีเด็กเชื้อสายตระกูลนั้นอยู่คนหนึ่งเป็นหนทางสว่างในการจะปราบพยศเหล่าชาวบ้านชาวเมือง ถ้าหากว่าได้ทายาทที่พร้อมเป็นหัวหน้าของบ้านดรูเอต์ผู้เป็นที่รักได้ล่ะก็...
แต่แล้วเมื่อเจ้าเมืองคนใหม่พบว่าตัวเธอไม่ใช่คนที่เขาตามหา
ทั้งเขายังรู้สึกเสียดายที่เธอไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่ 'แฟรงก์'
คนที่เธอเพิ่งเสียไป นอกจากสาวใช้
เธอก็ถูกละเลยจากเขาผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์เพิ่งสร้างใหม่นี้อยู่ประมาณสัปดาห์เห็นจะได้
ก่อนที่เขาจะยอมรับความจริงแล้วตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
'ต่อจากนี้ เจ้าจะเป็นฟรองซัวส์ เดอ ดรูเอต์'
"ต แต่หนูชื่อฟลอเรีย..."
แน่นอนว่าเขาก็ปฏิเสธที่จะเรียกเธอด้วยชื่อนั้น และปฏิบัติเธอเยี่ยงพี่ชายของเธอ ทั้งยัดเยียดความรู้หลากแขนงและวิชาการต่อสู้อย่างหนักหน่วง และเธอก็พบว่าไม่ว่าจะร้องไห้แค่ไหน ร้องขออย่างไร สถานการณ์ก็ไม่มีวันเปลี่ยนไป
สุดท้ายฟลอเรียที่ใฝ่ฝันจะได้ใส่ชุดฟูฟ่องแล้วใช้ชีวิตเยี่ยงหญิงสาวก็ทำได้แค่ยอมรับมัน
ผ่านมานับราว 10 ปี เธอที่เติบโตเป็นชายหนุ่มที่หน้าหวานกว่าหนุ่มทั่วไปก็ถูกส่งเข้ามาในเมืองหลวงอย่างปารีสเพื่อสานสัมพันธ์กับบุตรตระกูลขุนนางอื่นๆ กล่าวคือสร้างสายสัมพันธ์เพื่อการงานและพันธมิตรในอนาคต
แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการปล่อยให้'แฟรงก์'ได้ค้นพบถึงแนวคิดและกระแสที่กำลังจะโหมกระหน่ำขึ้นทุกวัน
การล้มระบอบศักดินาและการบริหารที่ไม่ได้เรื่องของกษัตริย์และขุนนางผู้ช่างประจบสอพลอของเขา
เขาได้พบเพื่อนหลายหลากมากคน และจนสุดท้ายเขาก็ได้เป็นหนึ่งในคนที่สนิทที่สุดของกลุ่มตัวตั้งตัวตีในฐานะนักศึกษา หลังกิจกรรมเข้าสังคมที่ซ้ำซากแต่สนุกสำหรับชนชั้นสูงผู้ช่างหลับหูหลับตาจากสภาพแวดล้อมนอกหน้าต่างนี้ไป พวกเขาก็จะรวมตัวกันเพื่อถกเถียงและลองคุยหาทางออกเสมอ
ฐานันดรที่ 3 หลังจากถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าห้องไปร่วมลงมติ ก็ได้ประกาศก่อตั้ง"สภาธรรมนูญแห่งชาติ" พวกเขาจะล้มเลิกระบอบศักดินาทั้งปวง รวมไปถึงกฎเกณฑ์และการเก็บภาษีที่เอารัดเอาเปรียบชาวฐานันดรที่ 3 ที่ถูกละทิ้งมาตลอด
มีข่าวคราวมาว่าทางราชวังรับรู้ถึงภยันตรายต่อตัวพวกเขา จึงเริ่มทยอยส่งกองกำลังทหารเข้ามาล้อมเมืองไว้ เมืองที่เจ้าขุนมูลนายอย่างพวกเขาไม่ได้อยู่ พวกเขาหวังจะบดขยี้และปราบปรามจากพระราชวังแวร์ซายล์ที่ตั้งห่างออกไปจากปารีส
และประชาชนภายในปารีสที่มือเปล่าไร้อาวุธจะตอบโต้อย่างไรได้เล่า? ดินกระสุนใดๆก็ไม่มี
แต่แล้วเพื่อนของแฟรงก์และผู้ใหญ่บางคนก็ได้เสนอถึงการทลายเข้าไปในที่ที่เป็นคลังอาวุธและดินระเบิดที่หนึ่งในละแวกนี้
นั่นคือการบุกทลายคุกบาสตีย์
ทั้งรวบรวมกำลังพลและจัดวางแผนทั้งหมด ใกล้จะเสร็จแล้วแท้ๆ...
ก็อกๆ
ฟลอเรียถึงกับหลุดจากภวังค์การย้อนอดีตก่อนจะกลับมาเป็น"แฟรงก์"แล้วกดเสียงต่ำลงขานตอบประตูไป "มีอะไรวะ ถ้าพวกกิลโยแมก็รอแปปนึงเว้ย"
เขารีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนที่ร่างกายของเขาจะเป็นเครื่องฟ้องว่าเขาไม่ใช่แฟรงค์ที่แท้จริง
แต่เจ้าของเสียงเคาะประตูไม่รีรอ เขาเปิดแง้มประตูเข้ามาก่อนจะพุ่งเข้าไป
".........?!"
"ตายซะ ไอ่ดรูเอต์จนตรอกจนต้องมาเป็นพวกของดูโบอา!!!"
ชิบหาย
นั่นคือสิ่งที่ฟลอเรียคิด
ตอนนี้กริชคู่กายที่ปกติเธอพกไว้กับตัวเพื่อป้องกันนั้นถูกวางห่างออกไปที่ชั้นวางของ เธอจึงไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย บวกกับการที่เธอไม่ได้ถูกใครเรียกว่า "ดรูเอต์" มาสักพักแล้วนั้นจึงฉงนแล้วใช้เวลาประมวลผลนานซะจน...ถ่วงกำลังในการคิดรับมือ "...แก จากเมือง___หรอ"
เป็นไปได้อย่างไรกันที่ทหารที่ล้อมเมืองไว้ตอนนี้จะยอมให้คนเข้าออกที่ไม่ใช่พ่อค้า? เขาต้องเข้มงวดมากสิ.. หรือว่า...
ยังไม่ทันได้รับคำตอบ มีดที่ถูกแทงที่ช่องท้อง ก็ถูกบิดเพื่อขยายปากแผลและสร้างความเสียหายกับเครื่องในของเธอมากขึ้น เธอเริ่มไร้เรี่ยวแรงในการทรงตัวไว้ สุดท้ายก็โดนบุคคลปริศนาออกแรงผลักลงพื้นไป
ขาก
ถุย!
'แฟรงก์'โดนถมน้ำลายใส่อย่างเหยียดหยามก่อนที่จะเริ่มรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆที่ไหลออกมาจากปากแผลอย่างไม่รีรอ ประสาทสัมผัสของเขาตอนนี้เริ่มเบลอไปหมดแล้ว
"พวกแกน่ะ ก็มีดีแต่เสวยสุขนั่นแหละ!!!"
ไม่นะ ฉันไม่..?!
"สุดท้ายแกก็แค่เหตุผลของการทำให้พวกเราเชื่องใช่มั้ยล่ะ?! โง่ โง่สิ้นดี!!! ตอนนี้พวกเราตาสว่างแล้วว่าไม่ว่าจะใครที่ไหนก็ช่วยพวกเร.มไ.นอ.จ.กพ..เ.."
สติของฟลอเรียค่อยๆเลือน
นั่นสินะ เธอไม่มีอะไรจะแก้ตัวเพราะเธอยังไม่ได้ทำจริงมันสักอย่าง
ทั้งแผนที่คุยกับเพื่อนไว้ ทั้งการกลับไปถอนรากถอนโคนผู้มีพระคุณจอมปลอมที่ทำอะไรไม่เป็นนอกจากรักษาอำนาจของตัวเองอย่างกับหมาหวงก้าง
ทั้งที่...
คลื่นกระเพื่อมของพวกเรา ไปไม่ถึง...อย่างนั้นสินะ
ถ้ามีโอกาสแก้ตัวได้ล่ะก็
ไม่สิ
ลำพังเธอคนเดียวจะไปแก้อะไรได้...
"ขอร้องล่ะอัลบัส"
ตอนนั้นเปลือกตาของเธอปิดลงไปแล้วเรียบร้อย ทั้งๆที่เมื่อกี๊เธอไม่สามารถจับใจความได้แท้ๆว่าคนนั้นทิ้งข้อความอะไรไว้ แต่ตอนนี้กลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอย่างประหลาดก้องไปมา จากตำแหน่งกี่นาฬิกาก็ไม่สามารถระบุได้อีก
....พี่...?
"ส่วนตัวฉันคัดค้านค่ะ แต่ยินดีด้วย คุณผู้สร้างยินยอม เพราะฉะนั้น..."
ก่อนที่เธอจะไม่รู้ตัวอะไรอีก
Comments
Post a Comment